
พุทธศาสนาสอนว่า สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมิได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่พึ่งพาและสัมพันธ์
กันอย่างไม่รู้จบ ซึ่งนั่นก็คือ “หลักอิทัปปัจจยตา” หรือ หลักเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์กัน ในพระสูตร
กล่าวไว้ว่า “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด” การดำรงอยู่ของเราทุกคน
ล้วนต้องอาศัยการประกอบกันของเหตุปัจจัยนานัปการ และการร่วมกันสร้างสรรค์ของสรรพ
ชีวิตที่นับไม่ถ้วน
เมื่อเราตระหนักถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นเช่นนี้ ย่อมเกิดความสำนึกในความรับผิดชอบขึ้น
โดยธรรมชาติ คือการมุ่งแสวงหาประโยชน์และความสุขแก่สรรพสัตว์เหล่าอื่ น เพราะแท้จริง
แล้ว การช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข ก็เท่ากับเป็นการเกื้อกูลแก่ส่วนรวมที่เราก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น
เมื่อผู้อื่นได้รับความสุข สภาวะแวดล้อมอื่น ๆ ก็ย่อมเกิดความร่มเย็นเป็นสุขมากยิ่งขึ้น สุดท้าย
แล้วตัวเราก็ย่อมได้รับอานิสงส์แห่งความสุขนั้นด้วยเช่นกัน
“ความเมตตากรุณา” เป็นแรงขับเคลื่อนในเชิงปฏิบัติ เพื่อการ “ทำประโยชน์และสร้างความสุข
แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” ข้อนี้คือหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่การให้ทานด้วยท่าทีที่
ดูถูก หรือการมองว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่าผู้อื่น หากแต่เกิดจากความเข้าใจว่า “ตนเองกับผู้อื่น
นั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ความทุกข์ของผู้อื่นก็คือความทุกข์ของตัวเราเอง ดังนั้น ความ
ปรารถนาที่ จะช่วยเหลือย่อมเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เหมือนกับตอนที่ มือของเราถูกมีดบาด
สมองจะสั่งให้อีกมือหนึ่งรีบกดแผลไว้ทันที โดยไม่คิดว่า “นั่นเป็นเรื่องของมือ ไม่เกี่ยวกับตัว
ฉัน” นี่แหละคือจิตแห่งความกรุณาอันแท้จริง
“การทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” ของพุทธศาสนา แตกต่างจาก
แนวคิดทั่ว ๆ ไปของโลกที่ว่า “การช่วยเหลือผู้อื่นแล้วจะมีความสุข” หรือ “การสละตนเพื่อ
ผู้อื่น” อย่างไร ในวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร มีพุทธภาษิตสำคัญบทหนึ่งว่า “ดังนี้แล แม้จะโปรด
เวไนยสัตว์อันนับประมาณมิได้ แต่แท้จริงแล้ว มิได้มีสัตว์ใดที่ถูกโปรดให้ถึงความดับทุกข์เลย”
ถ้อยคำนี้ ชี้ให้เห็นถึง “สภาวะจิต” ที่พึงมีเมื่อเราทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์
ทั้งหลาย คือ พึงพยายามช่วยเหลือสรรพชีวิตอย่างสุดกำลัง แต่ไม่ควรยึดถือความคิดว่า “ฉัน
กำลังช่วยผู้อื่น” หรือ “เขาเป็นผู้ที่ฉันกำลังช่วยอยู่” เพราะเมื่อเกิดความคิดเช่นนั้น ก็ง่ายที่จะ
เกิดความรู้สึกเหนือกว่า หรืออาจมีความโกรธกับความขุ่นข้องหมองใจเมื่อผู้อื่นไม่สำนึกใน
บุญคุณ
ดังนั้น กุศลธรรมทั้งหลายที่ดูเหมือนจะเป็นการทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์
ทั้งหลาย ก็อาจกลายเป็นเพียงส่วนขยายแห่งความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แม้อาจจะก่อให้เกิด
ผลบุญในระดับโลกีย์ เช่น ความสุขในโลกมนุษย์หรือโลกสรรค์ แต่ก็ยังมีคุณค่าน้อยนักเมื่อ
เทียบกับการตัดกิเลสและการหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏโดยแท้ “การทำประโยชน์และสร้าง
ความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” อย่างแท้จริง จึงเป็นการกระทำที่ทำแล้วปล่อยวางได้ ไม่ยึดมั่น
ถือมั่น ซึ่งทำให้ภายในจิตใจมีความบริสุทธิ์ ผ่องใส ปลอดโปร่ง และไร้ภาระ
กล่าวโดยสรุปแล้ว “การทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” คือ การกระทำ
ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเข้าใจชีวิตที่อิงอาศัยซึ่งกันและกันตามความเป็นจริง อันก่อให้เกิ ด
ความปรารถนาที่ผุดขึ้ นเองภายในจิตใจของตน เป็นความปรารถนาที่ อยากจะช่วยเหลือและ
มอบความสุขแก่สรรพชีวิตทั้งหลาย โดยเริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อยรอบตัว จนกลายเป็นวิถีแห่ง
ชีวิตตามธรรมชาติ จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัตินี้ ก็เพื่ อให้ ตนเองและผู้อื่นได้หลุดพ้นจาก
กิเลสทั้งหลาย และได้เข้าถึงความสงบพร้อมทั้งความสุขที่มั่นคงยั่งยืนอย่างแท้จริง
23 人数