ข่าวสารล่าสุด

ทำไมจึงต้อง “ทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย”

640.jpeg

พุทธศาสนาสอนว่า สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมิได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่พึ่งพาและสัมพันธ์

กันอย่างไม่รู้จบ ซึ่งนั่นก็คือ “หลักอิทัปปัจจยตา” หรือ หลักเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์กัน ในพระสูตร

กล่าวไว้ว่า “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด” การดำรงอยู่ของเราทุกคน 

ล้วนต้องอาศัยการประกอบกันของเหตุปัจจัยนานัปการ และการร่วมกันสร้างสรรค์ของสรรพ

ชีวิตที่นับไม่ถ้วน

เมื่อเราตระหนักถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นเช่นนี้ ย่อมเกิดความสำนึกในความรับผิดชอบขึ้น

โดยธรรมชาติ คือการมุ่งแสวงหาประโยชน์และความสุขแก่สรรพสัตว์เหล่าอื่ น เพราะแท้จริง

แล้ว การช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข ก็เท่ากับเป็นการเกื้อกูลแก่ส่วนรวมที่เราก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น 

เมื่อผู้อื่นได้รับความสุข สภาวะแวดล้อมอื่น ๆ ก็ย่อมเกิดความร่มเย็นเป็นสุขมากยิ่งขึ้น สุดท้าย

แล้วตัวเราก็ย่อมได้รับอานิสงส์แห่งความสุขนั้นด้วยเช่นกัน

“ความเมตตากรุณา” เป็นแรงขับเคลื่อนในเชิงปฏิบัติ เพื่อการ “ทำประโยชน์และสร้างความสุข

แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” ข้อนี้คือหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่การให้ทานด้วยท่าทีที่

ดูถูก หรือการมองว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่าผู้อื่น หากแต่เกิดจากความเข้าใจว่า “ตนเองกับผู้อื่น

นั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ความทุกข์ของผู้อื่นก็คือความทุกข์ของตัวเราเอง ดังนั้น ความ

ปรารถนาที่ จะช่วยเหลือย่อมเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เหมือนกับตอนที่ มือของเราถูกมีดบาด 

สมองจะสั่งให้อีกมือหนึ่งรีบกดแผลไว้ทันที โดยไม่คิดว่า “นั่นเป็นเรื่องของมือ ไม่เกี่ยวกับตัว

ฉัน” นี่แหละคือจิตแห่งความกรุณาอันแท้จริง

“การทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” ของพุทธศาสนา แตกต่างจาก

แนวคิดทั่ว ๆ ไปของโลกที่ว่า “การช่วยเหลือผู้อื่นแล้วจะมีความสุข” หรือ “การสละตนเพื่อ

ผู้อื่น” อย่างไร ในวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร มีพุทธภาษิตสำคัญบทหนึ่งว่า “ดังนี้แล แม้จะโปรด

เวไนยสัตว์อันนับประมาณมิได้ แต่แท้จริงแล้ว มิได้มีสัตว์ใดที่ถูกโปรดให้ถึงความดับทุกข์เลย”

ถ้อยคำนี้ ชี้ให้เห็นถึง “สภาวะจิต” ที่พึงมีเมื่อเราทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์

ทั้งหลาย คือ พึงพยายามช่วยเหลือสรรพชีวิตอย่างสุดกำลัง แต่ไม่ควรยึดถือความคิดว่า “ฉัน

กำลังช่วยผู้อื่น” หรือ “เขาเป็นผู้ที่ฉันกำลังช่วยอยู่” เพราะเมื่อเกิดความคิดเช่นนั้น ก็ง่ายที่จะ

เกิดความรู้สึกเหนือกว่า หรืออาจมีความโกรธกับความขุ่นข้องหมองใจเมื่อผู้อื่นไม่สำนึกใน

บุญคุณ

ดังนั้น กุศลธรรมทั้งหลายที่ดูเหมือนจะเป็นการทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์

ทั้งหลาย ก็อาจกลายเป็นเพียงส่วนขยายแห่งความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แม้อาจจะก่อให้เกิด

ผลบุญในระดับโลกีย์ เช่น ความสุขในโลกมนุษย์หรือโลกสรรค์ แต่ก็ยังมีคุณค่าน้อยนักเมื่อ

เทียบกับการตัดกิเลสและการหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏโดยแท้ “การทำประโยชน์และสร้าง

ความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” อย่างแท้จริง จึงเป็นการกระทำที่ทำแล้วปล่อยวางได้ ไม่ยึดมั่น

ถือมั่น ซึ่งทำให้ภายในจิตใจมีความบริสุทธิ์ ผ่องใส ปลอดโปร่ง และไร้ภาระ

กล่าวโดยสรุปแล้ว “การทำประโยชน์และสร้างความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” คือ การกระทำ

ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเข้าใจชีวิตที่อิงอาศัยซึ่งกันและกันตามความเป็นจริง อันก่อให้เกิ ด

ความปรารถนาที่ผุดขึ้ นเองภายในจิตใจของตน เป็นความปรารถนาที่ อยากจะช่วยเหลือและ

มอบความสุขแก่สรรพชีวิตทั้งหลาย โดยเริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อยรอบตัว จนกลายเป็นวิถีแห่ง

ชีวิตตามธรรมชาติ จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัตินี้ ก็เพื่ อให้ ตนเองและผู้อื่นได้หลุดพ้นจาก

กิเลสทั้งหลาย และได้เข้าถึงความสงบพร้อมทั้งความสุขที่มั่นคงยั่งยืนอย่างแท้จริง


23 人数